สังคมทุกวันนี้มีแต่เสื่อมถอยลงทุกวัน มีแต่เทคโนโลยีเท่านั้นที่เจริญก้าวหน้า การที่เราให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีความล้ำหน้ามากกว่าจิตใจที่ดีงาม จึงทำให้คนเรามีจิตใจที่โหดเหี้ยม ทำอะไรขาดความยั้งคิด ใช้กำลังและอารมณ์มากกว่าการใช้ความคิดตัดสินปัญหา ซึ่งเหล่านี้จึงก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรม ซึ่งดูว่ากำลังจะรุนแรงขึ้นทุกที การทำร้ายร่างกาย การฆ่ากันตายนั้น ดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฆาตกรในสมัยนี้ ฆ่าแล้วฆ่ากันอีก จนกลายเป็นฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างที่ปรากฏอยู่บนหน้าหนัสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ต้องคอยระวังอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นคุณอาจจะกลายเป็น "เหยื่อ" รายต่อไปของ "ฆาตกรต่อเนื่อง" ก็ได้
ล่าสุดในปี 1974 เจ้าหน้าที่เอฟบีไอจึงหันมาใช้คำว่า "ฆาตกรต่อเนื่อง" (SERIAL MURDER) ขึ้นมาใช้ในที่สุด
คำจำกัดความของคำว่า "ฆาตกรรมต่อเนื่อง" ที่ดีที่สุดถูกบันทึกไว้และตีพิมพ์โดยสถาบันยุติธรรมนานาชาติ (NIJ) ในปี 1988 คือ
"ลำดับการฆาตกรรมสองเหตุการณ์หรือมากกว่านั้น ส่วนใหญ่คนร้ายจะก่อเหตุการณ์ตามลำพัง คดีที่ก่อขึ้นมีช่วงระยะเวลาทิ้งห่างกันตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปถึงหลายๆ ปี โดยมีแรงจูงใจทางด้านจิตวิทยาและพฤติกรรของผู้เกิดเหตุ สภาพศพที่พบในที่เกิดเหตุจะสะท้อนให้เห็นความโหดร้ายวิปริตหรือความทารุณกรรมทางเพศ"
ส่วนเอฟบีไอ ให้คำนิยามไว้ในปี 1997 สั้นๆ ว่า ฆาตกรต่อเนื่องคือ
"ฆาตกรรมตั้งแต่สองรายที่เกิดขึ้นหรือมากกว่านั้น โดยเป็นการกระทำผิดที่เวลาต่างๆ กัน โดยมากแล้วจะเกิดจากคนร้ายคนเดียว"
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1983 นิตยสารไทม์บรรยายถึงฆาตกรที่กระทำฆาตกรรมต่อเนื่องว่าเป็น "เผ่าพันธุ์ใหม่ของนักฆ่า"
จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า โรคจิตซึ่งเป็นที่มาของการเกิดการฆาตกรรม แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ
1.กลุ่มโรคจิตเภท
2.กลุ่มโรคอารมณ์แปรปรวน
3.กลุ่มโรควิตกกังวล
กลุ่มโรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นโรคทางจิตเรื้อรังซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม ถือว่าเป็นกลุ่มโรคที่พบมากที่สุด โดยอาการคือ หูแว่ว หวาดระแวง และคิดผิดๆ เชื่อผิดๆ เช่น เชื่อว่าตัวเองกลับชาติมาเกิด หรือ ได้ยินเสียงคนต่อว่า ข่มขู่ หรือมาสั่งให้ทำนั่นทำนี่ ซึ่งถือว่า อาการค่อนข้างรุนแรงและมีผลกระทบต่อเจ้าตัวค่อนข้างมาก
ผู้ป่วยจิตเภทที่พบได้บ่อยที่สุดคือชนิดพารานอยด์ หรือหวาดระแวง อาการโดยหลักๆ ของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีความรับผิดชอบในเรื่องทั่วๆไปได้บ้าง แต่ในเรื่องของความคิด การกระทำ จะไม่ทราบว่าตัวเองจะทำอะไรและทำไปเพื่ออะไร มีอาการหวาดระแวง ได้ยินเสียงพูดหลอน หรือเสียงสั่งให้ทำบางสิ่งบางอย่าง มักเดินพูดคนเดียวเรื่อยเปื่อย คิดว่าตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ แต่ไม่มีพิษภัยกับใคร อีกประเภทที่น่าสนใจคือ จิตเภทชนิด CATAPONIA ที่จะเกิดความผิดปกติกับกล้ามเนื้อ จะนั่งนิ่งทั้งวัน อยู่ในท่าเดิมๆ คิดสับสนวนไปวนมา
กลุ่มโรคอารมณ์แปรปรวน แบ่งออกได้เป็น 2 โรค คือ โรคซึมเศร้า และโรคอารมณ์ 2 ขั้ว โดยโรคซึมเศร้าก็จะรู้สึกเบื่อๆ ไม่แจ่มใส หดหู่ ร้องไห้บ่อยๆ นอนไม่ค่อยหลับ เบื่ออาหาร ก็ไม่อยากทำอะไร รู้สึกผิด ไม่อยากมีชีวิต มักมีอาการต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่จะมีเหตุจากความผิดหวังและรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า โรคนี้อันตรายตรงที่มีความเสี่ยงสูงที่คนไข้จะฆ่าตัวตาย ส่วนกลุ่มโรควิตกกังวล มักมีอาการเครียด กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ครุ่นคิดแต่เรื่องเดิมๆ
ฆาตกรโรคจิต คือฆ่าแล้วมีความสุข พวกนี้มีความปรารถนาอยากฆ่า อยากที่จะแสดงอำนาจของตัวเองให้เหนือกว่าบุคคลอื่นโดยออกมาในรูปของสัญลักษณ์บางอย่าง เช่นคลั่งโลหิตมนุษย์ คลั่งซากศพ หรือกินเนื้อพวกเดียวกันเอง
ต่อไปนี้เป็นคดีฆาตกรรมที่เกิดข้นในสังคมทั้งยุคปัจจุบันและก่อนทศวรรษ
ฆาตกรต่อเนื่องในประเทศไทย
ย้อนรอยคดีบ้านสยองขวัญ : จุดจบฆาตกรต่อเนื่องเมืองผู้ดี
ผ่านมา10 ปีกว่าพอดีสำหรับการปิดฉากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่สะเทือนขวัญชาวเมืองผู้ดีมากที่สุดและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากที่สุดช่วงทศวรรษที่1990
22 พฤศจิกายน 2538 (1995) คือวันที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นางโรสแมรี เวสต์ (Rosemary West) ที่ร่วมมือกับสามี นายเฟร็ด เวสต์ (Frederick Walter Stephen West) ก่อคดีลักพาตัว, ข่มขืน และฆ่าสตรีและเด็กสาวมากกว่า 10 ราย
ที่น่าตกใจคือเหยื่อ 1 ในนั้นถึงกับเป็น ฮีทเธอร์ (Heather) ลูกสาวคนโตวัย 16 ของทั้งคู่ ความสยดสยองจากการฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่ยังสยิวขั้วหัวใจคนอังกฤษจนถึงปัจจุบัน ถูกสื่อมวลชนเมืองผู้ดีขุดคุ้ยมารายงานกันทุกครบรอบปีในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งตรงกับช่วงที่ศาลวินเชสเตอร์คราวน์มีคำพิพากษาในคดีของโรส และบุคคลที่นักข่าว นักแต่งหนังสือ หรือแม้แต่พวกนักทำหนังและสารคดี ตามขอสัมภาษณ์ทุกปี จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมือปราบฆาตกรต่อเนื่องสองผัว-เมียเวสต์คู่นี้
จอห์น เบนเน็ตต์ (John Bennett) อดีตผู้กำกับการแผนกสืบสวน ที่ปัจจุบันมีวัย 60ปี ระอากับการต้องตอบคำถามซ้ำซากแทบทุกปี แถมเรื่องราวชักจะเลยเถิดกันไปใหญ่ในระยะหลัง จึงจับปากกาเขียนหนังสือรวบรวมเบื้องลึกเบื้องหลัง ใช้ชื่อว่า "The Cromwell Street Murders : The Detective"s Story" ซึ่งเป็นชื่อของ "บ้านสยองขวัญ" เลขที่ 25 บนถนนครอมเวลล์ของครอบครัวเวสต์ เป็นปูมบันทึกเรื่องราวและเฉลยปริศนาที่หลายคนยังค้างคาใจ ว่าเพราะอะไรบ้านหลังนี้จึงได้ชื่อว่าบ้านสยองขวัญ?
ลองมาฟังคำบอกเล่าของนักสืบผู้เคาะประตูบ้านฆาตกรต่อเนื่อง และเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของคู่ผัว-เมียนักฆ่าโรคจิตกันดู
เด็กวัยรุ่นหลายรายเล่าให้พวกนักสังคมสงเคราะห์ฟังถึง "โจ๊กประจำครอบครัว" ที่ว่า "ฮีทเธอร์อยู่ใต้ลานบ้าน" นั่นเองตำรวจจึงเริ่มต้นขุดสวนหลังบ้านของเวสต์ และทำให้เฟร็ดจนมุมจนต้องมายอมรับโดยดุษณีว่าเป็นคนฆ่าลูกสาวตัวเองกับมือ เฟร็ดยังพยายามปกป้องเมียโดยบอกว่าโรสไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฆาตกรรมพวกนี้ เบนเนตต์เล่าถึงการสอบปากคำผู้ต้องหารายนี้ว่า "เขายังยืนกรานว่าโรสแมรีไม่รู้เรื่องอยู่นั่นแหละ จนกระทั่งในการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย ที่เขาเริ่มแนะว่าโรสแมรีอาจเกี่ยวข้องด้วย"
เบนเนตต์เดาว่าสิ่งที่เปลี่ยนใจเฟร็ด มาจากคำบอกเล่าของตำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของโรส ซึ่งเฟร็ดไม่เคยรู้มาก่อน "การที่ภรรยามีความลับกับเขาถือเป็นเรื่องช็อก หลังจากพวกเขาเคยร่วมกันปกปิดความลับ (เรื่องฆาตกรรม) มาด้วยกัน"
เฟร็ด ผู้สามี ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมรวม 12 กระทง และเขายอมรับว่าได้ฆ่าเหยื่อบางรายจริง แต่เขาชิงผูกคอตายในห้องขังในวันปีใหม่ก่อนจะถูกนำตัวขึ้นศาล ส่วนโรสซึ่งไม่ยอมรับสารภาพ เจอข้อหาฆาตกรรม 10 กระทงรวมทั้งคดีฆ่าลูกสาว ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิตทั้ง 10 กระทง ทุกวันนี้โรสยังชดใช้ความผิดอยู่ในเรือนจำบรอนซ์ฟิลด์ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ตั้งอยู่ใกล้เขตแอชฟอร์ด เมืองมิดเดิลเส็กซ์
เบนเน็ตต์บรรยายถึงลักษณะนิสัยของโรสว่า เธอเป็นคน "เย็นชา ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย"
โรสไม่เคยหลั่งน้ำตาให้แก่เหยื่อของเธอ ไม่รู้สึกรู้สากับความเจ็บปวดของครอบครัวที่สูญเสียสมาชิกไปเพราะการกระทำของเธอและสามี "ตอนที่เธอถูกตัดสิน ผมคิดว่าตอนนั้นเธอร้องไห้นะครับ แต่เธอร้องไห้ให้ตัวเอง" เบนเน็ตต์
ที่สุดของคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง มีหลายครั้งค่ะที่มีคนเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับที่สุดของคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง เช่น
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คือฆาตกรในศตวรรษที่ 19 เป็นฆาตกรต่อเนื่องคนแรกที่บันทึกรายอักษรนั้นเป็นคำตอบที่ผิดอย่างร้ายแรงค่ะ เพราะฆาตกรต่อเนื่องคนแรกที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์คดีแรกนั้นเกี่ยวข้องกับนักวางยาหญิงชื่อ โลคัสตา LOCUSTA เธอถูกตัดสินประหารชีวิตโดยจักรพรรดิโรมัน "กัลบา" .ในคศ.69 ส่วนผู้ชาย ตำแหน่งนี้เป็นของ เศรษฐีผู้มั่งคั่งชาวเยเมน ซู ซีนาเตอร์(ZU SHENATIR)ที่ชอบหลอกล่อเด็กผู้ชายให้มาที่บ้านด้วยการแจกอาหารและให้เงิน จากนั้นก็ทำอนาจารและพอชื้นใจแล้วก็จับโยนหน้าต่างชั้นบน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาฆ่าคนเป็นจำนวนเท่าไหร่กันแน่ แต่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าฆาตกรจอมโหดนี้ได้เสียชีวิตเพราะถูกเหยื่อแทงตายเพื่อป้องกันตัว
ในศตวรรษที่ 11 ที่เปอร์เซีย (ปัจจุบันคืออิหร่าน) มีกลุ่มผู้ร้ายนักฆ่าเป็นสมาชิกของกลุ่มมุสลิมนักรบรับจ้างในสงครามครูเสดใช้ชื่อกลุ่มตามรูปลักษณ์ของตัวเองว่า กลุ่มลัทธิโอสถหลอน (HASHASHIN) นักฆ่ากลุมนี้เห็นการฆาตกรรมเป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อมอบถวายแก่องค์เทพเจ้าและผู้ครองพิภพที่เรียกว่า "ผู้เฒ่าแห่งขุนเขา"กลุ่มนี้ถูกทำลายล้างในปี 1256 โดยชาวมองโกลภายใต้การนำของฮูลากู หลานปู่ของจอมจักรพรรดิ เจงกิสข่าน ซึ่งครั้งนั้นมีสมาชิกของลัทธิถูกสังหารไป 12,000 คน แต่นักสังเกตการณ์ของฝรั่งเศสบันทึกว่ายังมีสมาชิกของลัทธินี้อยู่มาจนถึงปีศตวรรษที่ 19
พวกลัทธินี้นับถือบุชาเจ้าแม่กาลี เทพเจ้าแห่งการทำลายล้างของชาวฮินดู นอกจากจะฆ่าคนแล้วพวกลัทธินี้ก็ยังมีพิธีกรรมทรมานตัวเอง ซึ่งผู้ศรัทธาจะถูกโบยตีและทำทารุณอย่างโหดร้ายโดยเหล่านักบวชในลัทธิ หรือไม่ก็ถูกเกี่ยวด้วยตะขอขนาดใหญ่เขาไปในเนื้อสดๆ ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มจะแสดงความปลื้มปิติยินดีเป็นล้นพ้นและเปล่งเสียงออกมาพร้อมๆ กันว่า "ชัยชนะแก่พระแม่กาลี"
เขาได้ทำการทดลองที่พิลิกพิลั่นนี้ ผลคือเขาสังหารเด็กไปราว 200-300 คน ด้วยวิธีที่พิลึกพิลั่นต่าง ๆ ที่สยดสยอง เช่นระหว่างที่บีบคอเหยื่ออยู่นั้นก็บังคับให้เหยื่อที่ไม่ถึงคิวมรณะร้องประสานเสียงร้องของเด็กที่เด็กนั้นกำลังจะตายด้วย
แต่สิ่งที่เราลืมนึกถึงก็คือ คนประเภทนี้ หากได้ชื่อว่าเป็นโรคจิต ย่อมหมายถึง ต้องเป็นคนป่วย แน่นอนเขาป่วย!!! แล้วทำไมถึงไม่แก้กันที่ต้นเหตุเล่า ดูว่าเขาพื้นเพมายังไง สภาพครอบครัวหรือจิตใจเป็นมายังไงแล้วก็ช่วยกันแก้ต่อไป ถึงเขาเหล่านั้นจะต้องได้รับโทษอย่างสาสมกับสิ่งที่เขาทำกับเหยื่อก็ตาม แต่เมื่อมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เราส่วนใหญ่มักมองข้ามสาเหตุของมัน และตัดสินที่ปลายเหตุ เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม ซ้ำไปซ้ำมา จนเป็นวงเวียนเดิม ๆ ที่เดินหมุนกันเป็นวงกลม
เราต้องช่วยกันแก้ไขไม่ใช่กำจัด ลองแก้กันดูสักครั้ง แล้วเราจะเห็นว่าคนที่เป็นฆาตกรอาจไม่ใช่คนโรคจิตที่อยากจะฆ่า แต่อาจทำเพราะเมื่อยังเด็กถูกแรงกดดัน ทารุณทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทางเพศ และจากภาพการทารุณกรรมได้รับฝังลึกอยู่ในใจด้วยความเครียดแค้น จึงทำให้มีผลต่อพฤติกรราการทารุณเหยื่อที่ไม่มีทางสู้ เพื่อสนองความต้องการของตนเองในที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น